เทศน์เช้า วันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจ ตั้งใจฟังธรรมนะ พวกเราเกิดมาเป็นมนุษย์ความคิดหลากหลาย คนเรานะ กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน คำนี้พูดบ่อยมากเลย เพราะมันเป็นสัจธรรม มันเป็นความจริงนะ การกระทำของเรา พฤติกรรมของเรา มันจำแนกเราให้แตกต่างกันไปแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน
ดูสิเวลาพระจันทร์ยิ้ม ทุกคนก็ตีความไปแต่ละบุคคล ตีความเข้าข้างตัวเองไป เห็นไหม พระจันทร์ยิ้มเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาตินะ ปรากฏการณ์ธรรมชาติเกิดขึ้น นี่สิ่งต่างๆ คนก็ตีความไปแล้วแต่ความเห็นของตัว สิ่งที่เป็นความเห็นของตัว เห็นไหม พวกฤกษ์พานาทีมันเป็นเรื่องของโลกๆ ไง
ความเห็นของโลก เราเกิดมาเป็นมนุษย์มันเป็นโลก โลกเพราะอะไร? เพราะเราเกิดมานี่สิ่งที่พิสูจน์ได้ มันพิสูจน์ได้ มันเป็นโลก เห็นไหม แล้วธรรมล่ะ? ธรรมะเป็นสิ่งที่เจือจานหัวใจของเรานะ นี่เราอยู่กับโลก ดูสิถ้าคนมันทุกข์มันยากขนาดไหน แต่ถ้าใจเขามีธรรมขึ้นมา เขาอยู่กับความเร่าร้อนแต่เขาไม่ร้อน แต่เราอยู่กับความร่มเย็นเป็นสุขนะ ในบ้านของเราเราติดแอร์นะ ความร่มเย็นเป็นสุข เย็นสบายมากเลยแต่หัวใจมันเร่าร้อน หัวใจเร่าร้อนเพราะอะไร? เพราะจิตใจขาดธรรมะ
ธรรมะคืออะไร? ธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมะคือความเป็นไปของฤดูกาล นี่ก็ว่ากันไป เห็นไหม ธรรมะเป็นธรรมชาติเหมือนวิทยาศาสตร์เลย วิทยาศาสตร์เราต้องพิสูจน์ ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์เราเข้าใจแล้ว เราไม่สงสัยในเรื่องของปรากฏการณ์ต่างๆ ปรากฏการณ์ต่างๆ มันเป็นธรรมชาติของมันใช่ไหม? ถึงคราวมันหมุนเวียนไป มันเป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้น สิ่งที่เป็นอย่างนั้นปั๊บ นี่ฤกษ์พานาทีเขาก็ดูกันไป
นี้เป็นเรื่องโลกนะ ถ้าเป็นเรื่องธรรม ธรรมข้ามพ้นดีและชั่ว สิ่งที่เป็นคุณงามความดี ความดีเป็นการกระทำ แต่ถึงที่สุดแล้ว ทำดีอาศัยความดีไปก่อน แต่ถ้าความชั่ว อาศัยความชั่ว เราทำเห็นแก่ตัวของเรามันจะให้ผลนะ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ผลของกรรม เห็นไหม แล้วกรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน เราก็อ้อนวอนเอาว่าเราขอให้ประสบความสำเร็จ
ความสำเร็จหรือความไม่สำเร็จอยู่ที่การกระทำของเรา การกระทำของเรา เห็นไหม การกระทำบ่อยครั้งเข้าจนเป็นจริต เป็นนิสัย.. การเพิ่มบุญญาธิการ เราทำงานสิ่งใดก็แล้วแต่ ถ้าเราชำนาญการแล้วเราจะมองงานนั้นออกหมด เราจะเข้าใจภาวะปรากฏการณ์ของการทำงานเลย คนทำงานเป็นนะ แล้วเด็กฝึกหัดงานมาฝึกงานกับเรา พอทำผิดเราจะมองออกเลยว่าเด็กคนนี้ทำงานผิด
ในการประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม เราต้องเปลี่ยนวิกฤติในหัวใจของเรา ทุกคนเกิดมาเป็นโลกนะ ทุกคนมีเหมือนกัน ทุกคนมีความทุกข์เหมือนกัน ทุกคนจับต้องเหมือนกัน คนเกิดมามีปากมีท้องเหมือนกัน คนต้องใช้จ่ายเหมือนกัน นี่คือการดำรงชีวิตเพราะอะไร? เพราะในวัฏฏะนี้เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดในธรรม เห็นไหม อาหาร ๔ ในวัฏฏะ
คนเกิดเป็นพรหม เวลาจิตไปเกิดเป็นพรหมกินอาหารอย่างไร? เกิดเป็นเทวดากินอาหารอย่างไร? เกิดเป็นมนุษย์กินอาหารอย่างไร? เห็นไหม สิ่งที่เป็นอาหารคือการดำรงชีวิต อาหารของใจล่ะ? อาหารของใจ นี่เรามากันนี้อาหารของใจนะ พอเร่าร้อนเราก็หาความร่มเย็นเป็นสุข แต่ความร่มเย็น เวลาคนที่ฉลาด เวลาเร่าร้อนขนาดไหนเขาก็หาเครื่องอำนวยความสะดวกของเขา อำนวยความสะดวกของเขามันก็เป็นของชั่วคราวๆ
โลกนี้มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ถ้าเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ชีวิตเราก็มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ให้เปลี่ยนในทางที่ดีไง ให้เปลี่ยนในทางที่ดีคือให้มันพัฒนาขึ้น ในการพัฒนาขึ้น ทางโลกเขาได้มาถึงว่าสิ่งนั้นเป็นคุณประโยชน์ของเขา แต่ในทางธรรมคือการเสียสละออกไป การเสียสละออกไปเพราะอะไร? เพราะชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุดจะไม่มีอะไรเป็นสมบัติของเราเลย
สมบัตินี้มันอาศัยกันชั่วชีวิตหนึ่ง แต่คุณงามความดี บาปอกุศล บุญกุศลมันจะไปกับเรานะ สิ่งที่ไปกับเรา เห็นไหม เวลาเราประพฤติปฏิบัติ บุญและบาปจะติดใจนี้ไป.. แต่ในปัจจุบันนี้เราละบุญและบาปกองไว้ที่นี่ เราละบุญและบาปกองไว้บนโลกนี้ อะไรมันจะติดใจเราไป สิ่งที่มันจะติดเราไป มันไม่มีอะไรติดเราไปเลยเพราะเราสละแล้ว เราสละออกทั้งหมด แต่การสละนี่มันสละอย่างไร?
ทาน ศีล ภาวนา
การเสียสละคือเสียสละทาน สละทานเพื่ออะไร? เขาจะปั้นโอ่งปั้นไหเขาต้องมีดิน เขาต้องนวดดิน เขาต้องพร้อมของเขา เราจะประพฤติปฏิบัติเราต้องมีหัวใจ เวลาประพฤติปฏิบัตินี่จิตตภาวนา เอาจิตมาภาวนานะ มาวัดเอาหัวใจมาด้วย ไม่ใช่มาวัด ตัวอยู่ที่วัด แต่ใจอยู่ที่บ้านนะ วิตก วิจารไปหมดเลย นู่นก็ยังไม่ได้ทำ นี่ก็ยังไม่ได้ทำ มาแต่ตัวนะใจอยู่ที่บ้าน
จิตตภาวนา มาที่นี่แล้ว มาถึงวัดแล้วขังมันไว้ในตัวเรา เราอยู่ในวัด เราไม่ออกจากนอกวัดไปเราก็อยู่ในวัด ถูกต้อง นี่วัตถุ เห็นไหม แต่หัวใจมันอยู่ไหม? หัวใจมันอยู่ในร่างกายเราไหม? หัวใจมันอยู่กับเราไหม? หัวใจมันไปทั่วหมดเลย
นี่จิตตภาวนา! ถ้าจิตตภาวนา เขาจะปั้นโอ่งปั้นไหเขาต้องมีดิน มีวัตถุของเขาพร้อม เราจะมาประพฤติปฏิบัติหัวใจเราอยู่ไหน? หัวใจเรา.. นี่ศีล สมาธิ ปัญญา เรามีศีลคือรั้วกั้น เวลามันคิดนี่คิดในสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่เป็นศีล ๕ เราไม่ทำความผิด ๕ อย่าง แล้วคุณธรรมล่ะ? ไม่ทำผิด ๕ อย่างเราต้องมีเมตตาด้วย
เราไม่ฆ่าสัตว์ เรามีเมตตาสัตว์ เราไม่ลักทรัพย์ของใคร แต่เรามีการเสียสละเพื่อเจือจุนสังคม เราไม่ผิดในคู่ครองของใคร เราไม่มุสา เราไม่พูดปด เพราะคนพูดปดแล้ว.. พูดปดนะ เวลาคนโกหกนี่โกหกเพื่ออะไร? โกหกเพื่อผลประโยชน์ของเรา เห็นไหม ผิดศีล แต่ถ้าเป็นอุบาย ดูพ่อแม่สอนลูกสิ ลูกจะมีความผิดพลาดขึ้นมา นี่เรารู้ว่ามันไม่จริงแต่เราพูด
อย่างเช่นเด็กๆ เห็นไหม อย่ากลืนเม็ดผลไม้นะเดี๋ยวมันจะงอกบนศีรษะ นี่มันเป็นจริงไหม? ไม่จริงหรอก แต่เราก็พูดกับเด็กเพราะเด็กมันเข้าใจไม่ได้ พอเด็กมันเข้าใจไม่ได้ อย่างนี้พูดปดไหม? เราบอกว่าเด็กนี่อย่ากลืนเม็ดผลไม้นะเดี๋ยวมันจะงอกบนหัว กินเข้าไปแล้วมันจะเสียหาย แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่ ไปพูดอย่างนั้นเขาว่า เอ๊ะ.. ทำไมพ่อแม่พูดกับลูกอย่างนั้น
มันยังเข้าใจไม่ได้ เราต้องมีอุบายไม่ให้เขาทำความผิดพลาด พอโตขึ้นมาแล้วเขาจะรู้เองว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก แต่ถ้ามันกลืนเข้าไปแล้ว ถ้ามันไปติดหลอดลมมันถึงกับชีวิตได้นะ นี่ไงการพูดปด เราบอกว่าพูดปดต้องพูดตรงเปี๊ยะเลย ผิดอะไรไม่ได้เลย แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้ที่เราหวังผลประโยชน์กับเขา เราไม่ได้ปดเขาเพื่อผลประโยชน์ของเรา เราพูดเป็นอุบายวิธีการ
คำว่าอุบาย ถ้าไม่มีอุบายเลยเราจะทำงานกันอย่างไร? มันจะเถรตรงเกินไป ความลับมันจะเปิดให้คนอื่นรู้ทั้งหมดได้อย่างไร? ความลับของเรา เห็นไหม นี้เป็นความลับทางโลกนะ แต่ถ้าเป็นการประพฤติปฏิบัติไม่มีความลับ ความลับไม่มี เป็นความจริงทั้งหมด แต่ความจริงอย่างนี้ยังรู้ไม่ได้ เขายังรู้ความจริงอย่างนี้ไม่ได้แล้วเขาไม่เชื่อ เราถึงว่าเราให้รางวัล
ดูสิดูอนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นเศรษฐีนะสร้างวัดด้วย สร้างวัดมาก แล้วตัวเองเป็นพระโสดาบันด้วย นี่ลูกชาย ลูกเลี้ยงมาไม่สนใจอะไรเลย เห็นไหม จ้างลูกให้ไปฟังธรรม จ้างลูกให้ไปวัดก่อน พอจ้างให้ไปวัด พอไปวัดกลับมาแล้วได้ตังค์ ไปวัดกลับมาแล้วได้ตังค์ ทีนี้ก็อีกแล้ว ถ้าไปวัดแล้วกลับมาได้ตังค์นะ ขออีกที ไปวัดแล้วให้จับประเด็นที่พระพุทธเจ้าเทศน์ด้วย แล้วมาเอาตังค์
นี่พอจับประเด็นเทศน์ไปเรื่อยๆ มีการเปลี่ยนแปลง จิตมันรับรู้ มันมีการแยกแยะ มีการค้นคว้า บรรลุเป็นพระโสดาบันนะ กลับไปถึงบ้านวันนั้นพ่อบอกว่าทำไมลูกไม่มาเอาตังค์ ไม่กล้าไปเอาตังค์ อายมาก อายมากเพราะอะไร? อายมากเพราะว่าพ่อเลี้ยงมาทั้งชีวิตนะ แล้วพ่อยังเปิดหัวใจให้รู้จักคุณงามความดีอีกนะ มันเห็นคุณค่ามาก เห็นคุณค่าของพ่อ
พ่อเลี้ยงมาขนาดนี้ลูกมันไม่เข้าใจ อุตส่าห์จ้างไปวัดก่อน ไปวัดให้เข้าไปใกล้ชิดก่อนก็ยังต่อต้าน พอไปวัดแล้วนะให้จับประเด็น ให้จับข้อมูลที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดว่าอย่างไร? เห็นไหม นี่พัฒนาการของจิตมันเป็นอย่างนี้ ใหม่ๆ มันไม่เข้าใจมันต่อต้านด้วย แล้วเห็นนะ เห็นพ่อทำบุญอย่างนั้นมันจะคิดเลยว่า แหม.. ทำไมมันฟุ่มเฟือย เพราะมันอยู่กับเรื่องโลกไง วัตถุดูสิมันแปรสภาพไปเราก็เห็นอยู่ แต่ใจที่มันเปลี่ยนสภาพเราไม่เห็นมัน
ถ้าใจเปลี่ยนสภาพ เห็นไหม นี่วุฒิภาวะของใจ ถ้าใจของคนมีคุณธรรมนะทำได้ ทำสิ่งที่ดีๆ ได้ง่ายๆ แต่คนที่ไม่มีคุณธรรม หรือคนที่บาปอกุศลนะ ชวนไปทำที่ดีนะมันอาฆาตแค้นเลยล่ะ มันอาฆาตแค้นว่าทำไมมาทำร้ายเรา มาทำลายเรา เป็นการทำลายเรานะ แต่ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ทำลาย มันทำลายกิเลสไง ทำลายความผูกพัน ทำลายความตระหนี่ถี่เหนียว ทำลายสิ่งที่หัวใจมันยึดมั่น ได้สิ่งใดมาก็ว่าของเราๆ
ร่างกายนี้ยังไม่ใช่ของเราเลย ร่างกายนี้ถึงเวลาแล้วมันต้องพลัดพราก แต่! แต่ในปัจจุบันเราเกิดมานี่เกิดมาโดยกรรม มันเป็นของเราชั่วคราว ของเราชั่วชีวิตหนึ่ง ทีนี้ชีวิตนี้มันแปรสภาพ มันเปลี่ยนแปลงใช่ไหม? มันเป็นอนิจจัง สิ่งนี้เป็นอนิจจังมันถึงไม่เป็นความจริงไง นี่มันเกิดมาเหมือนโอกาส ชีวิตหนึ่งเราจะทำอะไร? เราจะเอาอะไรติดไม้ติดมือเราไป
ถ้าเราเอาวัตถุติดไม้ติดมือไป ดูโกดังสินค้าสิมันล้นเหลือนะ ล้นจนเป็นต้นทุน ต้นทุนที่ต้องเก็บรักษา ต้นทุนที่เราต้องบำรุงรักษามันยังเป็นทุนหมดเลย แล้ววัตถุเราจะเก็บไว้นี่มันจะเสื่อมสภาพไปหมดเลย แล้วสิ่งที่เราเสียสละออกไปปั๊บมันเป็นทิพย์หมด สิ่งที่เป็นทิพย์คือเป็นเจ้าของ เป็นเจ้าของจะเป็นเจ้าของตลอดไป
ดูสิเวลาไฟไหม้บ้าน เราขนสมบัติออกจากบ้านจะเป็นสมบัติของเรา สมบัติที่เราเสียสละออกไป นี่เสียสละออกไปเป็นของเรา อยู่กับเราไม่ใช่ของเรา อยู่กับเรายังเสื่อมค่า เสื่อมสภาพ แล้วต้องพลัดพรากจากกัน เราใช้จ่ายไปมันพลัดพรากจากเราไป เราตายจากเขา เราพลัดพรากจากเขา มันพลัดพรากทั้ง ๒ ฝ่าย ฝ่ายที่เขาพลัดพรากจากเรา
ดูสิเราใช้จ่ายไปมันพลัดพรากไปหมดเลย แต่ถ้าเราตายไปเราก็พลัดพรากจากเรา เห็นไหม ของอย่างนี้มันพลัดพรากแน่นอน แต่เสียสละใครเป็นคนเสียสละ? สิ่งนี้เป็นวัตถุนะ แต่ใจเป็นผู้เสียสละใช่ไหม? ใจเป็นผู้เสียสละ ใจเป็นเจ้าของ พอใจเป็นเจ้าของเพราะอะไร? เพราะว่ามันเสียสละไปแล้ว มันไม่มีใครจะทำลายเราได้ มันเป็นทิพย์หมดเลย ของที่เสียสละออกไปแล้วใครจะแย่งชิงได้ แต่ความที่เป็นเจ้าของเสียสละอันนั้นมันเป็นสมบัติของเรา
สิ่งที่เสียสละเป็นของเรา แต่โลกคิดกันไม่ได้ โลกคิดกันไม่เป็น โลกคิดกันไม่เป็นถึงบอกว่าเราเป็นฝ่ายเสียเปรียบ นี่ไงมันถึงเวลาใครชวนเสียสละ ถ้ามันเป็นจิตที่เป็นบาปอกุศลมันจะคิดอย่างนั้น แต่ถ้าใจเป็นกุศลไม่ต้องชวนเราเสียสละเอง เสียสละเองมีคนทำตามเรา เห็นไหม นี่ไงที่ว่าไปเป็นเทวดาก็ไปเป็นหัวหน้า มีบริษัทบริวาร แต่ถ้าคนไปเป็นเทวดา ไปทำบุญกุศลมันก็ไปคนเดียว
นี่มันเป็นวัฏฏะนะ มันเป็นการหมุนไปเวียนไปของวัฏฏะ มันเป็นพัฒนาการของจิต จิตที่มันเกิด เห็นไหม เกิดในประเทศอันสมควร เกิดในสิ่งที่ทรัพยากรมีคุณค่า มีต่างๆ มันหมุนของมันไป มันถึงคราวถึงวาระนี่กรรมมันให้ผลทั้งนั้นแหละ เราถึงทำแต่สิ่งที่ดีๆ ทำดีเราจะไม่ประมาทกัน คนเรามันมีสูงมีต่ำ มันเป็นไปได้ ทุกคนมีอิสรภาพเหมือนกัน ทุกคนมีจิตเหมือนกัน จิตที่เกิดมา จิตที่เป็นเรา เห็นไหม มีอิสรภาพ สมบัติไม่เท่ากัน
ดูสิร่างกายไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน แต่จิตใจมีความรู้สึกได้เหมือนกัน แล้วนี่จะทุกข์ทนเข็ญใจก็เป็นพระอรหันต์ได้ จะมั่งมีศรีสุขก็เป็นพระอรหันต์ได้ เพราะพระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลทุกข์ทนเข็ญใจก็มีนะ ทุกข์ทนเข็ญใจเพราะอะไร? เพราะใจมันมีบารมีอยู่ แต่มันไม่เคยเสียสละ ไม่เคยทำไว้มันก็ได้น้อย พระสีวลีมีบุญกุศลมหาศาล แล้วทำไว้มากมายมหาศาล
ในการประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน เวลาถึงที่สุดเอตทัคคะ พระอรหันต์ ๘๐ องค์ไม่เหมือนกัน คนมีความชำนาญต่างๆ กันไป แต่ความสะอาดบริสุทธิ์เหมือนกัน ความสะอาดบริสุทธิ์ต้องทำลายตรงนี้เหมือนกัน
นี่ไง เราจะตีค่าไปเพื่อใคร พระจันทร์ยิ้มทุกคนก็ตีค่ากันไปว่าของใครของมัน ตีค่าไปหมด โจรมันก็บอกว่าพระจันทร์ยิ้มมันจะปล้นแล้วได้เงินมาก เห็นไหม สิ่งนั้นเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ แต่ปรากฏการณ์ธรรมชาตินี่มันเป็นเรื่องโลกๆ ปรากฏการณ์ในหัวใจของเรามันพัฒนาไหม? มันดีขึ้นไหม? ถ้าดีขึ้นนะจะกราบเคารพครูบาอาจารย์มาก
พ่อแม่ครูจารย์ พ่อแม่ของเรา.. พ่อแม่ของเราให้เกิดมา เห็นไหม พ่อแม่ในบ้านเราก็เหมือนกัน มีบุญกุศลมาก แต่ในทางวิทยาศาสตร์นะ พ่อแม่เป็นหน้าที่ของเขา พ่อแม่มีบุญกุศลนะ พ่อแม่มีบุญมีคุณ เพราะอะไร? เพราะการเกิดมา การถนอมรักษานะ แล้วมันเป็นสายบุญสายกรรม ใครมีลูกคนแรกนะจะทะนุถนอมมาก หัวใจแทบขาดนะ
แล้วดูสิเวลาพระเวสสันดร เห็นไหม ชูชกมาขอลูกไป ๒ คน แล้วตีต่อหน้ามันเจ็บปวดขนาดไหน? แต่ถ้าเป็นทางวัตถุ เป็นทางโลกบอกว่าพ่อแม่เห็นแก่ตัว ทำไมไม่เสียสละตัวเอง ทำไมเสียสละลูก ก็เขาไม่ขอเรา เขาขอลูก เขาขอลูกเพราะอะไร? เพราะมันเป็นบุญเป็นกรรม สายบุญสายกรรม เพราะชูชกเป็นคู่ทรมานกันมา นี่เป็นสายบุญสายกรรม เขาขอลูก แล้วขอลูกไปเราเป็นผู้ที่รับผิดชอบมหาศาลเลย แล้วรักมาก ทะนุถนอมมาก แล้วต้องให้เขาไป ดูซิมันเจ็บปวดขนาดไหน? นี่มันเป็นเรื่องของนามธรรม เรื่องของความรู้สึกนะ แต่มันสร้างบารมี สร้างบารมีจะให้ใจมันเข้มแข็งขึ้นมา ใจมันแก่กล้าขึ้นมา ถึงที่สุดแล้วเวลาเจอวิกฤติ เวลาภาวนาไปนั่งตลอดรุ่งอย่างนี้ เวลาเจออะไรต่างๆ ขึ้นมา เห็นนู่น เห็นนี่ต่างๆ มันไม่หลงไป
ไอ้เรามันอ่อนแอ เห็นไหม เห็นนิมิต เห็นอะไรหน่อย อู๋ย.. นี่มันไปหมด มันไปตามความเห็นนั้น ความรู้ความเห็นนั้นมันจะชักนำเราไปหมดเลย แต่ถ้าคนมีจุดยืนนะ เห็นแล้วต้องพิสูจน์ เห็นต้องแยกแยะ เห็นต้องเข้าใจ
นี่ความเข้มแข็งของใจ กับความเข้มแข็งของร่างกาย คนที่ร่างกายนี้เข้มแข็งมาก ทุกอย่างแข็งแรงมาก แต่หัวใจอ่อนแอนะ หัวใจอ่อนแอ หัวใจไม่เอาไหนเลย นี่เขาก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรของเขาไป ดูสิดูคนที่ร่างกายอ่อนแอแต่หัวใจเข้มแข็ง เขาทำงานของเขาได้ เขามุมานะของเขาได้ เขาทำประโยชน์ของเขาได้ เห็นไหม นี่มันมีกายกับใจ ทั้งเข้มแข็ง ทั้งอ่อนแอ ทั้งข้างนอกและข้างใน
ความเข้มแข็งจากข้างใน หัวใจนี่สิ่งต่างๆ มันฝึกได้ ทุกอย่างฝึกได้ แม้แต่ช้างเขายังฝึกมาลากซุงได้ แล้วหัวใจของเราทำไมมันฝึกไม่ได้ สามเณรอายุ ๗ ขวบ เห็นไหม เป็นลูกศิษย์พระสารีบุตร ไปเห็นเขาชักน้ำเข้านา น้ำไม่มีชีวิตมันยังชักเข้านามาเป็นประโยชน์ได้ หัวใจเรามีความรู้สึก มันมีชีวิต ทำไมเราไม่เอาศีล สมาธิ ปัญญา ฝึกมัน แก้ไขมัน ทำให้มันดีขึ้นมาได้ แล้วถ้าดีได้นะ ดีนี่มนุษย์ดี คนดี จิตใจที่ดี ทำแต่สิ่งที่ดีๆ แล้วสังคมมันจะเหลวแหลกไปได้อย่างไร ในเมื่อคนมีแต่หัวใจที่ดีๆ
แต่ปัจจุบันนี้ เห็นไหม ดูสิสังคมใส่หน้ากากเข้าหากัน นี่มันเป็นเรื่องนะ วัฏฏะ เห็นไหม ดูสิวัฏฏะมันมีมหาศาลเลย จากเทวดา อินทร์ พรหม มาเกิดเป็นมนุษย์ก็มี จากสัตว์เดรัจฉาน จากอเวจีมันเกิดมาเป็นมนุษย์ก็มี นี่ภพมนุษย์เป็นภพกลาง สูงขนาดไหนเวลาหมดบุญแล้วก็มาเกิดเป็นมนุษย์ ภพต่ำขนาดไหน พอพ้นจากกรรมมันก็มาเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์มีหลากหลายมาก แล้วมาสร้างกันต่อไปเพื่อจะไปเสวยอีกภพชาติหนึ่ง มันจะเวียนไปอย่างนี้ เวียนไปเวียนมานะ แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำให้ถึงที่สุดได้ แล้วเรามีโอกาสนะ
ใช่ เกิดมาเป็นคนมันทุกข์มันยาก มันมีหน้าที่การงาน มันมีความรับผิดชอบ ถ้าคนมีความรับผิดชอบยิ่งมีมากขนาดไหน เวลามาประพฤติปฏิบัติมันจะรับผิดชอบแล้วถนอมรักษา เพราะเวลาสมาธิมันเกิดขึ้นมา เห็นไหม เดี๋ยวมันเจริญแล้วก็เสื่อม ปัญญาเกิดขึ้นมาเดี๋ยวก็เป็นโลกียปัญญา เดี๋ยวก็เป็นโลกุตตรปัญญา เพราะมันไม่มีสมาธิเป็นฐานรองรับมันก็คิดไปโดยเรา ถ้ามีสมาธิเป็นฐานรองรับมันก็คิดโดยธรรม นี่มันเจริญแล้วเสื่อม แล้วจิตใจถ้ามีความเข้มแข็ง มีความถนอมรักษา มันจะพาพัฒนาการ มันจะเดินของมันไปเรื่อยๆ วุฒิภาวะของใจมันจะสูงไปเรื่อยๆ
นี่ธรรม! โลกเป็นโลก ธรรมเป็นธรรม แล้วมีกับเรา ร่างกายนี้เป็นโลก เกิดมานี่ธาตุ ๔ ไข่ของมารดา แล้วเกิดมามีธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ แล้วถึงที่สุดต้องสละไว้กลับไปสู่ธรรมชาติเดิมของมัน แต่หัวใจไม่! เกิดดี ทำดี หัวใจได้พัฒนาการของมัน เกิดมาชั่ว ทำชั่ว หัวใจมีแต่ทำให้มันต่ำต้อยไป เห็นไหม นี่มันมาเพื่อใช้ชีวิตหนึ่ง ทำคุณงามความดีได้มากขนาดไหน ทำต่างๆ แล้วว่ามันทุกข์มันยาก นี่ทุกข์ยากเหมือนกันหมด
เวลาพระเราทุกข์ยากกว่าอีก เวลาอยู่ในป่าทุกข์ยากกว่านี้อีก ไม่มีสิ่งใดอำนวยความสะดวกเลย แล้วไปอยู่ป่าทำไม? มันทุกข์ยากขนาดไหนก็ทุกข์ยากเพื่อพิสูจน์ใจไง ทุกข์ยากเพราะดูใจมันเข้มแข็งขนาดไหน? ทุกข์ยากจิตใจมันสามารถพลิกแพลง สามารถดำรงชีวิตได้อย่างไร แล้วมันจะแก้ไขได้อย่างไร แล้วดูการเกิดการตายเป็นอย่างนี้ จะมาเกิดเป็นอย่างนี้อีกไหม? จะมาซ้ำแล้วซ้ำอีก จะมาทุกข์ยากอยู่อย่างนี้อีกไหม?
นี่ถ้าปัญญามันเกิดมันเตือนใจได้ พอมันเตือนใจได้เราจะอยู่กับที่ได้ ถ้าปัญญาไม่เกิดมันมีแต่ความน้อยเนื้อต่ำใจ มันจะชักนำนะ บอกว่าออกเถอะ ออกจากป่าเถอะ เราไปอยู่โลก อยู่สุขสบายดีกว่า นี่ถ้าใจอ่อนแอเราจะไม่มีปัญญา ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร ปัญญารอบรู้ในความคิดที่มันคิดขึ้นมา แล้วแยกแยะหาคุณหาโทษของมัน ถ้าเห็นโทษมันเราจะยับยั้งไว้ เห็นคุณเราต้องเหยียบคันเร่ง พยายามพัฒนาให้มันสูงขึ้นๆ จะเป็นประโยชน์กับเรา
นี่ว่าโลกกับธรรม ในร่างกายเรามันก็มีอยู่แล้ว ในชีวิตจริงของเรามันก็เป็นโลกส่วนหนึ่ง ธรรมส่วนหนึ่ง แต่ธรรมมันจะเกิดไม่ได้ เพราะธรรมมันเป็นนามธรรมมันถึงมองไม่เห็น แล้วเราเชื่อใจใครได้ล่ะ? แต่ถ้าเป็นโลก มนุษย์มองเห็นกันอยู่ตลอดเวลา เห็นไหม โลกเห็นชัดๆ จับต้องได้ ธรรมะจับต้องไม่ได้ แต่ถ้าเป็นการปฏิบัติแล้วจับต้องได้
นี่อารมณ์ความรู้สึกเหมือนวัตถุอันหนึ่ง มรรค ผล นิพพาน มันไม่เหมือนวัตถุอันหนึ่ง มรรค ผล นิพพาน เป็นความจริงเลย จิตสัมผัส จิตจับต้องได้ จิตอธิบายได้ ของที่เราจับต้องได้ เราทำเองทำไมเราอธิบายไม่ได้ เราบอกเขาไม่ได้ บอกได้หมด แต่บอกได้ในวงของผู้ที่มีปัญญาเสมอกัน ถ้าบอกผู้ที่มีปัญญาต่ำกว่าเขาก็เทียบเคียงเป็นเรื่องโลกไปหมด
เรื่องของโลกมันก็เป็นเรื่องของโลก มันเป็นอนิจจัง เรื่องของธรรมนะมันคงที่แล้วมีจริงๆ จากสิ่งที่ว่าวัตถุมันแปรปรวนตลอดเวลา อารมณ์เรายิ่งแปรปรวนมากกว่า แต่อารมณ์ที่แปรปรวนเร็วกว่ามากกว่า ถ้ามีสติมีปัญญาใคร่ครวญแล้วมันจะคงที่ อารมณ์ความรู้สึกที่นิ่งอยู่ วิมุตติสุขมีอยู่ แล้วไม่แปรปรวน อยู่กับเรานะ เอวัง